น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ 28 ต.ค.65 ปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 37.71-37.73 บาทต่อดอลลาร์ (09.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.82 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับทิศทางของสกุลเงินภูมิภาคในภาพรวม
ขณะที่เงินดอลลาร์ ขาดแรงหนุนเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อที่คำนวณจาก PCE/Core PCE Prices Indices เดือน ก.ย. อย่างไรก็ดีคงต้องระมัดระวังกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่อาจผันผวนในระหว่างวันท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางของฝั่งเอเชีย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 37.60-37.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค โดยเฉพาะค่าเงินหยวนและเงินเยน ผลการประชุม BOJ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ PCE/Core PCE Prices Indices เดือน ก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคเดือน ต.ค.คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า วันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยประเมินว่า BOJ จะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.10% และเดินหน้าการทำ QE ด้วยการตรึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่นให้ไม่เกินระดับ 0.25% ไปมาก ทำให้ในระยะสั้น เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อได้ จนกว่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าลงอย่างชัดเจนจากการส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หรือ BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้นชัดเจนหลังการเดินหน้าเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทั้งนี้ มองว่า หากเงินเยนกลับไปอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากผลของนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่าง BOJ กับเฟด ก็มีโอกาสที่จะเห็นการเข้ามาแทรกแซงในตลาดค่าเงิน เพื่อชะลอการอ่อนค่าลงของเงินเยนและลดความผันผวนของค่าเงินเยนจากทางการญี่ปุ่นได้อีกคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ส่วนในฝั่งสหรัฐ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการงานข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดจับตาอย่างใกล้ชิด โดยตลาดประเมินว่า เงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ในเดือนกันยายนจะเร่งขึ้นแตะระดับ 5.2% ทำให้เฟดยังไม่สามารถส่งสัญญาณชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสัญญาณการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อผ่าน ข้อมูล ดัชนีต้นทุนการใช้จ่ายในการจ้างงาน Employment Cost Index (ECI) ในไตรมาสที่ 3 โดยหาก ECI เริ่มปรับตัวขึ้นในอัตราชะลอลง อาทิ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ +1.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ก็จะสะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อผ่านการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าจ้างที่เริ่มลดลงได้และชี้ว่าเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในที่สุด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาอีกหนึ่งสัญญาณต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ ผ่านรายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้น 1 ปี และเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง 3 ปี ที่จะประกาศพร้อมรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยหากเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะปานกลางปรับตัวลงต่อเนื่องและต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลปัญหาเงินเฟ้อสูงในสหรัฐ มากขึ้น
นอกเหนือจากการประชุม BOJ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการส่วนใหญ่ยังคงออกมาดีกว่าคาด ก็จะสามารถช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในกรอบ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอประเมินทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐ ผ่านรายงาน เงินเฟ้อ PCE รวมถึง เงินเฟ้อคาดการณ์ และ ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของค่าเงิน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยหาก BOJ ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย สวนทางกับเฟด ก็อาจเห็นการกลับมาอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเห็นค่าเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง
อย่างไรก็ตามมองว่า เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการกลับเข้ามาซื้อหุ้น รวมถึงบอนด์ระยะยาวจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้โซนแนวต้านของค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 38.00 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่ในช่วง 37.50 บาทต่อดอลลาร์